My working American Idols คนอเมริกันที่ฉันเลื่อมใสในการทำงาน

 

วันนี้ขอเล่านอกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจและภาษีอากรค่ะ  ที่เขียนขึ้นมาเพราะหลายคนคงจะสงสัยว่า ทำอย่างไรรึ มาอยู่อเมริกา ถึง พัฒนาตัวเองตลอดเวลาด้านทักษะต่าง ๆ ทำไมเปลี่ยนงานบ่อย  ทำไมเสี้ยมสอนให้คนหางานทำ เรียนภาษาอังกฤษ  มีใบขับขี่ของตัวเอง มีรถของตัวเอง  มีบ้านของตัวเอง มีเงินเก็บของตัวเอง  (ไม่จำเป็นว่าต้องมีผัวเป็นของตัวเองค่ะ แต่อย่าไปยุ่งกับผัวคนอื่นก็พอ) เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด และไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน.

 

Target readers กลุ่มเป้าหมาย

 

ต้องเตือนก่อนอ่าน เดี๋ยวหาว่าไร้สาระอีก  กลุ่มเป้าหมายผู้อ่านคือกลุ่มที่มองหาตัวอย่างของคนที่มีอาชีพ มีการศึกษา และชนชั้นกลางของอเมริกา โดยการพึ่งตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองทุกด้านและมองหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อล้มก็พร้อมที่จะพักและลุกขึ้นสู้ต่อไป ตราบใดที่ยังมีสองมือสองเท้า มีสมอง (น้อย กลาง มาก ยกเว้นพวกไม่มีสมอง) และครอบครัวที่อบอุ่นให้กำลังใจ

 

working American Idols คนอเมริกันที่ฉันเลื่อมใสในการทำงาน

 

สาวรุ่นใหญ่ และ หนุ่มใหญ่ที่ว่า เป็นเพื่อนของแฟนเราเองค่ะ  ไปไหนด้วยกันบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนกัน  กลุ่มนี้ อายุปาเข้าไปใกล้เกณฑ์เกษียณรับเงิน Social Security benefit ส่วนหนุ่มใหญ่ ฮี เริ่มรับไป สามปีก่อนนะคะ  ทำไม เขาถึงเป็น working idols ของเราละคะ

 

Educations เรื่องการศึกษา 

 

ทั้งสองท่าน ก็เหมือนครอบครัวอเมริกัน ธรรมดาทั่วไป ที่พ่อแม่ไม่ได้มีทุนการศึกษาให้ สาวใหญ่ ชีทำงานหาเงินเรียนเอง หลังจาก ม.ปลาย  ส่วนหนุ่มใหญ่ ฮีไปเป็นทหารคะ เพราะ ทหารได้ทุนเรียนฟรี ทหารส่งเรียน เอาเป็นว่าทั้งคู่ทำงานไปเรียนไปจนจบ ปริญญาตรีด้าน คอมพิวเตอร์ ไม่รู้ใช้เวลานานเท่าไร แต่ไม่ใช่ สี่ปี ยาวนานกว่านั้นค่ะ.  ทั้งคู่ป็นนักคอมพิวเตอร์รุ่น เดอะ  the ที่ว่าคือรุ่นที่บางโปรแกรมเขาเลิกใช้ไปแระ.   อ้าวทำไมเอาตัวอย่างของคนมีการศึกษามาเป็นแบบอย่างละ  ตอบคือ เขาเป็นคนมีเป้าหมายค่ะ ที่เขาไปเรียนด้านนั้นเพราะมันหางานทำได้ง่าย เขามีวิศัยทัศน์ที่น่าเลื่อมใสมากกว่าสามข้อ.

 

เรื่องการทำงาน  ทั้งสาวใหญ่และหนุ่มใหญ่ เปลี่ยนงานบ่อยมาก ทั้งแบบที่มาที่โต๊ะ และให้ขนของออกจากออฟฟิตแบบไม่ตั้งตัว แล้วอีกวันมาเก็บของ (ถูกเชิญให้ออกงานแบบกระทันทัน). มีทั้งที่แจ้งล่วงหน้า เป็นหลายเดือนกว่าจะให้ออก มีบางเคส บอกว่า จ้างได้อีก สามเดือน แต่รวม ๆ กันแล้วอยู่นั่น เจ็ดปีก็มีค่ะ.  เขาทำงานมานานกว่า สี่สิบปี คงเจอไรมากมาย เจอทั้งการบ้าน การเมือง ดี งี่เง่าสารพัด  แต่ทั้งคู่  ไม่เคยหนีงาน และ ขาดความรับผิดชอบ. และเป็นโปรแกรมเม้อรุ่นเดอะ ที่เขียนโปรแกรมใหม่ ๆ ได้แบบไม่อายรุ่นหลัง.

 

Long term unemployment & Free training เรื่องการตกงานระยะยาวและการขอเงินช่วยเหลือฟรีจาก กรมแรงงาน

 

สาวใหญ่และหนุ่มใหญ่ทั้งคู่เคยตกงานมากสุดถึง สามปี โดยเฉพาะหนุ่มใหญ่ นานสุดคือ สามปี (แฟนบอกรู้จักวิคมานานแระ  ฮีตกงานบ่อยมาก ไม่ใช่แค่ช่วงเศรษฐกิจแย่) ช่วง เศรษฐกิจแย่ ๆ ปี    2006-2009 เราจำได้ วิคเพื่อนหนุ่มใหญ่ ตอนนั้นอายุ จะ หกสิบ เพราะอายุมากด้วย ถึงหางานได้ยาก และส่วนใหญ่กิจการจะลดต้นทุนกัน เป็นทั่วอเมริกา  ถามว่า วิคลำบากไม๊  ฮีใช้ชีวิตปกติ ฮีไปประชุม เอเอ(กลุ่มผู้เลิกสุราอย่างเป็นทางการ) เหมือนทัวไป บ้านไม่ถูกยึด เพราะมีเงินสำรองผ่อนต่อไป  และเท่าที่จำได้ ทุกครั้งที่วิค ได้โบนัส ได้เงินพิเศษ วิคจะจ่ายค่าบ้าน จนเหลือไม่มาก และก็ค่าผ่อนบ้านน้อยมากด้วย.  ฮี ไปสมัคร วารันเทีย หลากหลายที่เพื่อจะได้ไม่ว่างงาน  ที่สำคัญที่ไปลงเรียนต่อ ด้านโปรแกรมใหม่ ๆต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัย และ unemployment จ่ายให้ฟรี ๆ เพราะรายได้ไม่มีเลย  นี่คือสวัสดิการที่วิคได้รับ  วิค ไม่เคยท้อ หาโน่น ๆ หานี่ ใครมีปาร์ตี้ที่ไหน ไปหมด บ้านเราก็มา เพื่อ ฮีจะได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ.  วิคเป็นทหารเก่า มีสปิริตสูง  ลูกเมียไม่มี (คงไม่มีใครอยู่ด้วยได้)  ตกงานก็ไม่เดือดร้อน ใครเลย  เราหลาย ๆ ครั้ง จะแนะนำรุ่นพี่ให้ วิค ก็เนอะ  ผลักดันยาก อยากอยู่คนเดียวไปจนแก่ช่างฮี.   ณ ปัจจุบัน วิค รีไทม์ เรียบร้อย  เพราะ ช่วงปี 2011 ฮีได้งานเป็น project manager เงินเดือนไม่ต้องบอก อย่างน้อย เลข หกหลัก แถมมีโบนัส  ฮีจ่ายหนี้บ้านหมด ฮีซื้อรถบ้าน เทเลอร์  ฮีซื้อรถ ทรัค ขนเทลเลอร์ แบบว่าพร้อมทุกอย่าง มีเงินเก็บ รับ social security benefit สบายๆ .  ก่อนหน้าจะเกษียณ วิค ได้ก่อ ร้าง Utah Diaper Bank สำหรับ ขอบริจาค ไดเป้อ ให้ แม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ  ฮีใช้บ้านตัวเองเป็น โกดัง  หลังเกษียณ ฮีก็ทำงานนี้เต็มเวลา พบปะผุ้คนขอบริจาค ไดแป้อ ช่วยชาวบ้าน ซึ่ง เรา ทึ่งและยกย่องมาก  ฮี ยังเป็นคนประสานงานช่วยเหลือ ทหารเก่า ที่ต้องการความช่วยเหลือด้วย.

 

สาวใหญ่ จะเล่าก็ไม่ได้  ชีเปลี่ยนงานบ่อยมาก เพราะจำเป็นต้องมีประกันสุขภาพ  เนื่องจาก สามีมีโรคประจำตัว (สามี เรียนจบ ด๊อกเตอร์ แต่ทำงานเครียดไม่ได้)  เลย ทำไรง่าย ๆ เรื่อย ๆ ให้เมียเลี้ยงไป  แถม เคยมีบ้านหลังใหญ่ และก็ขายไป หลังจากลูก ๆ โตแยกย้าย  กลับมาซื้อบ้าน ทาวเฮ้าหลังไม่เล็กที่ เมืองใกล้ ๆ เรา มีหนี้นิดหน่อย เงินดาวน์มีไว้เยอะ  ทำงานอยู่กับบ้านบ้าง เข้าออฟฟิต ไป 7 โมง กลับบ้าน 4 โมงเย็น ได้เงินเดือน หกหลัก  สบาย ๆ ทำงานกับคนอายุไล่เลี่ยกัน ทำโปรแกรม เก่า ๆ แบบเด็กรุ่นใหม่ไม่น่าจะรู้ บังเอิญบริษัท 3m เขามีโปรแกรมหลายรุ่นมาก แต่ยังใช้ระบบเก่า ๆ พร้อมกับระบบใหม่ อยู่ ชีถึงมีคุณค่าเพราะชำนาญโปรแกรมเก่า .

 

เราอยากทำงาน แบบชีมาก  ideal job ทำงานที่บ้าน มีหัวหน้า ไม่มีลูกน้องทำงานสบาย ๆ รับผิดชอบงานตัวเอง ทำงานกับวัยเดียวกัน ไม่เครียด  แต่ เพื่อนสาวใหญ่กว่าจะหาเจอ  ชีก็ใช้เวลานานพอสมควร ต้องฝ่าฟัน อะไรเยอะแยะมากมาย. แค่นางไม่หยุดที่จะค้นคว้า และขวานขวาย  ใช้ชีวิตมีความสุข เที่ยวบ้าง ไรบ้าง พักบ้าง

 

Who is/are your working role models? ใครเป็นตัวอย่างในเรื่องการทำงานของคุณบ้าง

 

ถ้ายังไม่มีควรจะถามตัวเองค่ะ  เรามีมาตลอดตั้งแต่ที่ไทยและอเมริกา  สองคนทีพูดถึง ก็เพิ่งมารู้จักตอนแต่งงานและอยู่ที่นี่ พอฟังแนวคิด และแนวปฏิบัติแล้ว เลื่อมใส ส่วนมาก  บางเรื่องเราก็ไม่เอามาทำตาม เช่นเรื่องครอบครัวที่หนุ่มใหญ่เลือกจะอยู่คนเดียว  หรือ เรื่องครอบครัวที่เรื่องสาวใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูก จนเขาคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก  แม้ว่าเด็ก ๆ จะโตแล้ว และเข้าใจแล้ว แต่เราก็ควร บอกให้เขารู้ ว่าเรารักและแคร์ต่อเขาตลอดเวลา  คำพูดและการกระทำสอดคล้องเสมอ.  สาวใหญ่ ชีไม่ค่อยพูด ชีนิสัย แมนมาก  แต่ชีรักและห่วงลูกชายชีเหลือเกิน.

 

เวลาเรามีใครเป็นแบบอย่าง เราไม่ต้องเลือก เอามาปฏิบัติทั้งหมดค่ะ เลือกเฉพาะที่เราชอบ  ไม่มีใคร เพรียบพร้อม สมบูรณ์แบบที่จะเป็นผู้นำตัวอย่างให้เราได้หมดหรอกค่ะ  เอาง่าย ๆ ให้มองดูตัวเราเองสิ ยังไม่เพรียบพร้อมอะไรเลย (รู้ตัวดี ไม่ต้องมีใครมาบอกหรอก บอกได้แต่อย่าแรง อิอิ).

 

Be self-reliant พึ่งตัวเองให้มากที่สุด

 

ไปยืมมาจากอินเตอร์เนท ซึ่งน่าสนใจมากและก็เห็นด้วย คนอื่นอาจจะคิดแหวกแนวไปกว่านี้ก็ถือว่าไม่ผิด  เพราะการคิดต่าง และมีความเชื่อที่แตกต่างจากเรา ใช่เขาจะผิดเสมอไป.

 

ที่ 1.) เราเป็นคนมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง  คำนี้ก็เช่นว่า เอาเรื่องใกล้ตัวเรื่องครอบครัว ดูว่าเราตำแหน่ง ไร มีหน้าที่ไร เราเป็นแม่ เป็นเมีย เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็น น้อง เป็น พี่ เป็น ญาติ เป็นเพื่อน เป็น ป้า เป็นน้า และที่สำคัญ คือ การเป็น “เจ๊ะ”  ทำตัวถูกเปล่า รู้ตัวเปล่า

 

2) เป็นคนที่สามารถตัดสินใจอะไรต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้  เนื่องมาจากข้อแรก ตำแหน่งต่าง ๆ ที่เรามี เราสามารถตัดสินใจไรได้มะ  บางอย่างขึ้นอยุ่กับ หัวหน้างาน หัวหน้าครอบครัว  แต่เราก็ควรจะมีคำตอบของเราไว้  เนื่องจากเราก็มีสมอง  อาจจะมากน้อย ก็อยู่ที่กรรมพันธ์  ฉะนั้น พึงใช้สมอง ที่น้อย หรือ มาก ตามสถานการณ์  อย่าทำตัว เสมือน ว่า “ไม่มีสมอง ไม่มีความคิดของตัวเอง”

 

3.) เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อันนี้สำคัญ  นอกจากจะปลูกผักให้อวบแล้ว ถามว่า รู้จัก ปีนต้นแอปเปิ้ลแบบไม่ตกได้ปะ (กวนเล่น ๆ )  ถ้าเรามีความรู้  แล้ว  ทักษะใหม่ ๆ ที่จะเสริม ทำให้ความรู้เราแกร่งขึ้นมะ  ลองดูนะคะ  เหมือนทำกับข้าวเก่งนะ แหละ ทำเก่งมีทักษะในการ ถนอมอาหารไม๊  (ไม่รู้เกี่ยวกันเปล่า)  เราทำงานเงี๊ยะ อะไรที่ทำให้งานเรารวดเร็วคล่องตัว มีประสิทธิภาพ  หามาปะ

 

4.) ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าจะเศร้า เหงา และเสียใจ   คนส่วนใหญ่ ใช้เฟคบุคเป็นที่แสดงความรู้สึกทุกสถานการณ์  ทะเลาะ กับผัว ผัวมีกิ๊ก  ผัวเล่นเกมย์รู้หมด  ลูกป่วย ลูกไข้ ลูกเศร้า  ผัวซื้อรถหรูให้ ผัว ได้โบนัส ผัวตกงาน ชาวบ้านรู้หมด  มันอาจจะคลายเครียดได้สำหรับบางคน  แต่สำหรับ เดี๊ยนไม่เลยฮะ  เดี้ยนเครียด เดี๊ยนก็คิดอย่างอื่นเอา  ไม่คิดเรื่องนั้น หาไรใหม่ ๆ ทำ  ระบายกับผัวที่บ้าน ไม่ต้องผ่านเฟคบุค ให้คนอื่น รู้หรอก พึงรู้ว่า แฟนเราก็คือครอบครัวเราคนหนึ่ง ที่คอยรับฟัง ทุกเรื่อง (อย่าไปเลือกความเห็นงี่เง่ามาใช้ละ)

 

5.) ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ กินอาหารที่ดี รักษาสุขภาพ   ตอนนี้วิธีลดน้ำหนักเยอะมาก  บางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้  เรา ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าอยากผอม ก็อย่ากินเหมือนปล้น พูดง่ายแต่ทำยากเนาะ  รู้จักครอบครัวที่สามี ภรรยา แบบอ้วน มโหฬาร  พี่แกไม่ได้กินยา หรือทำไรเลย  แกบอก แค่ลดอาหาร ใช้เวลาแค่สามปี  (ตอนนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟคบุคแระ ลบหมด).

 

6.) เวลาเรารู้สึกแย่ เสียความรู้สึก หาวิธีแสดงออกที่ไม่ทำให้เครียดมากกว่าเดิม (บางคนเขาเครียด เขาไม่มีอารมณ์ปรับตัว ปล่อยหัวมัน)   เวลาเราเห็นสถานการณ์แย่ๆ  เราจะออกนอกเรื่องเพื่อไม่ให้มันแย่กว่าเดิม  เยอะมากในหมู่พวกที่ทำงาน ที่จะพยายามไม่พูดเรื่องลบ ๆ ซึ่งกันและกัน   ส่วนปัญหาเรื่องครอบครัว ทีแย่ ๆ ก็ทำใจเย็น ปล่อยวาง ระบายกับเพื่อนบ้าง

 

7.) หยุดที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เป็นตัวของตัวเองในแบบเรา. เราเลิกทำมานานแล้วค่ะ เรื่องแบบนี้ เพราะ คนเราไม่เหมือนกันไม่มีทางเปรียบเทียบกันได้เลย   แต่เราต้องรู้ตัวเราเองก่อนนะ ว่าอยู่ในช่วงไหน จังหวะ ไหน  ถ้าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนตกงาน ไม่มีเงิน เราก็ดีกว่าถมเถ  แล้วถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับเศรษฐพี ร้อยล้าน พันล้าน มันก็คนละขั้วกัน  ยิ่งคนเรา ความสามารถไม่เหมือนกัน ทักษะ ก็ไม่เหมือนกัน  มันจะมีข้อดีอยู่บ้าง กับคนที่เปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ดีกว่า โดยไม่มีความอิจฉา แต่ใช้คนที่ดีกว่า เป็น เป้าหมายที่เราต้องบรรลุ ไม่ว่าจะได้แค่ ครึ่ง ถือว่าโชคดีแล้ว.

 

 *อะไรก็ตามที่เราทำวันนี้ ทำดี ทำร้าย คิดดี คิดร้ายกับใคร ไม่ว่าจะเรื่องการใช้ชีวิต การทำงาน จะกลับมาหาเราแน่นอนในอนาคต.  ฝรั่งยังเชื่อเลย วันนี้ได้คุยกับเพื่อนแหม่มที่ทำงาน เรื่องทั่วไป นาง พูดออกมาว่า “ฉันว่าใครทำไรได้อย่างนั้นแหละ Karma”.  

 

ที่มา                             :  ทั่วไป

เรียบเรียงโดย               : นักวิชาเกิน

วันที่                             :  วันจันทร์ที่  24 เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑,  Monday, September 24th, 2018

 

Practitioners advising clients on the financial and tax consequences of entity alternatives is not viewed as a practice of law.  การให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าถึงเกี่ยวกับทางภาษีอากรและการเงินเกี่ยวกับโครงสร้างกิจการ ไม่ถือว่าเป็นการให้ทำปรึกษาด้านกฏหมาย

**I am not an attorney, this article is only for information and comments about investment and taxes.**

**ดิฉันไม่ใช่ทนายค่ะ บทความนี้ทำเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฏหมายภาษีอากรและเกี่ยวกับการลงทุนเท่านั้น.**